เรียน ท่านผู้ถือหุ้น
![]() |
|
นายลิม เคีย เม้ง
ประธานกรรมการ
|
นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ
กรรมการผู้จัดการ
|
ระหว่างปี 2559 – 2562 ก่อนการแพร่ระบาด บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) มีรายได้รวมเฉลี่ยปีละ 20,086 ล้านบาท และกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 354 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 – 2564 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการสินค้าสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางทำให้ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานและเรียนจากที่บ้าน นอกจากนี้ หลังจาก รัฐบาลเริ่มโครงการคนละครึ่ง ความต้องการสมาร์ทโฟนก็เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากต้องใช้ในการทำรายการ ส่งผลให้ใน ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 32,425 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 792.6 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดประเทศ มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและลดข้อจำกัดการเดินทางในต้นปี 2565 สินค้าที่เคยขายดีในช่วงแพร่ระบาดก็เริ่มขายลดลง ทำให้รายได้รวมของบริษัทฯ ลดลงสู่จุดต่ำสุดใหม่ที่ 27,710 ล้านบาทในปี 2566 ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2567 ที่ระดับ 28,833 ล้านบาท และมีกำไร 697.6 ล้าน บาทตามแผนภาพด้านล่าง
การให้บริการอย่างครอบคลุม ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของบริษัทฯ ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึง เทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้มีจำนวนผู้แทนจำหน่ายที่ซื้อสินค้าจากบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 บริษัทฯ จำหน่าย สินค้าให้กับผู้แทนจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 10,392 บริษัท ตามแผนภาพด้านล่าง
บริษัทฯ จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภทผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่ หลากหลาย เพื่ อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน บริษัทฯ ได้จัดแบ่งสินค้าออกเป็น 12 กลุ่ม และบริหารจัดการในรูปแบบหน่วย ธุรกิจ โดยสามารถจำแนกสินค้าเหล่านี้ออกเป็น 2 หมวดหลัก ได้แก่
1. หมวดสินค้า Volume ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มียอดขายสูง แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว ส่งผลให้การเติบโตลดลง สินค้าในหมวดนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยได้แก่
2. หมวดสินค้า Value เป็นสินค้าที่อยู่ในขั้นพัฒนาหรือเพิ่งเปิดตัวในตลาด ซึ่งแม้มียอดขายยังไม่สูงแต่มีการ เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทฯ ได้แยกรายงานยอดขายออกเป็น 2 กลุ่มย่อย
ในปีที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าหมวดนี้เติบโตร้อยละ 16.7 และกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพ การขยายตัวของตลาดในกลุ่มสินค้าเหล่านี้
จากแผนภาพแสดงยอดขายและกำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าทั้งสองหมวด พบว่ากำไรขั้นต้นของสินค้าหมวด Value สูงกว่าสินค้าหมวด Volume ตั้งแต่ปี 2566 โดยมีสัดส่วนร้อยละ 54.2 ของกำไรทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 55.1 ในปี 2567 ซึ่งคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถเติบโตได้ต่อไปจากสินค้าหมวด Value ที่ตลาดยังขยายตัว อย่างต่อเนื่อง
Cloud เป็นหนึ่งในธุรกิจใหม่ (รายงานในสินค้ากลุ่มอื่นๆ) ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นบริการที่ ให้ประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมาก และกำลังเปลี่ยนบทบาทจากเทคโนโลยีใหม่ไปสู่สิ่งจำเป็น บริษัทฯ มีการให้บริการทั้ง แบบ SiS Cloud ที่บริษัทฯ ลงทุนระบบเอง และแบบเป็นผู้แทนจำหน่ายให้กับผู้ให้บริการ Cloud ระดับโลก เช่น AWS, Azure และ Wasabi ทำให้มีบริการที่ครบวงจร ด้วยช่องทางที่มีอยู่อย่างครอบคลุมและลักษณะธุรกิจิที่เป็น รายได้ต่อเนื่อง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามแผนภาพด้านล่าง
นอกเหนือจากการขยายธุรกิจแล้ว บริษัทฯ ยังยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามแนวทางของ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้บริษัทฯ ได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการในระดับดีเลิศซึ่งเป็นระดับสูงสุดต่อเนื่องอีกปี
ในนามตัวแทนของบริษัทฯ ขอขอบคุณคู่ค้า สถาบันการเงิน ลูกค้า ตลอดจนคณะผู้บริหารและพนักงาน ทุกคนที่สนับสนุนบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้หลัก บรรษัทภิบาลที่ดี เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในประเทศไทยให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์อย่างต่อเนื่อง